โดย กลุ่มดอยเวียงเกี๋ยง » เสาร์ 06 ส.ค. 2011 9:28 am
พระอรหันต์ในขณะที่มีชีวิตอยู่มีจิตหรือไม่?
ตอบ : พระอรหันต์ในขณะที่มีชีวิตอยู่นั้นท่านก็ยังมีจิต แต่...ท่านไม่ยึดจิตที่มีอยู่นั้น ว่า
(จิต)นั่นเป็นเรา (จิต)นั่นเป็นของเรา (จิต)นั่นตัวตนของเรา
ส่วนกระบวนการทำงานของจิตยังมีอยู่ ตราบที่สังขารคือร่างกายของท่านยังเป็นไปอยู่ ดำเนินไปอยู่ในโลกใบนี้
แต่เมื่อใดก็ตามที่สังขารคือร่างกายของท่านหมดการทำงานลง ท่านก็ดับทั้งหมด(จิตกับกาย)
เป็นการหมดทุกข์ทางขันธ์ ๕ อย่างถาวร ที่เรียกว่าดับโดยสิ้นเชิง ซึ่งไม่มีเบญจขันธ์เหลืออีกแล้ว
เปรียบเหมือนประทีปหมดสิ้นเชื้อ ฉะนั้น
หรือว่า จิตท่านดับตอนไหน?
ตอบ : โดยธรรมชาติของจิตแล้ว เกิด-ดับ อยู่ตลอดวันและคืน
ส่วน คุณวานิชยา มีความรู้ มีความเข้าใจ เกี่ยวกับเรื่อง "จิต" มาอย่างไรบ้าง? เพื่อจะได้ตอบตรงจุดที่ประสงค์
คำสอนของพระพุทธองค์เกี่ยวกับเรื่องการเรียกว่า จิต ไว้ดังนี้... (ให้พิจารณาเอาว่า เราเข้าใจตรงตามที่ตรัสไว้หรือไม่)
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ จะพึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้
ข้อนั้นเพราะเหตุไร?
เพราะเหตุว่า ความเจริญก็ดี ความเสื่อมก็ดี การเกิดก็ดี การตายก็ดี
แห่งกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ย่อมปรากฏ
ปุถุชนผู้มิได้สดับจึงเบื่อหน่ายบ้าง คลายกำหนัดบ้าง หลุดพ้นบ้าง ในกายนั้น
แต่...ตถาคตเรียกกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
(คำว่า มหาภูตทั้ง ๔ ได้แก่ ร่างกายอันประกอบด้วยธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม)
ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่อาจเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้น นั้นได้เลย
ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะว่า จิตเป็นต้นนี้ อันปุถุชนมิได้สดับ รวบรัดถือไว้ด้วยตัณหา ยึดถือด้วยทิฏฐิว่า
นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้ ตลอดกาลช้านาน
ฉะนั้น ปุถุชนผู้มิได้สดับจึงไม่อาจจะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หลุดพ้นในจิตเป็นต้นนั้นได้เลย.
[๒๓๑] ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับจะพึงเข้าไปยึดถือเอากาย
อันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ โดยความเป็นตน ยังชอบกว่า
แต่จะเข้าไปยึดถือเอาจิตโดยความเป็นตน หาชอบไม่
ข้อนั้นเพราะเหตุไร?
เพราะกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ เมื่อดำรงอยู่ปีหนึ่งบ้าง สองปีบ้าง สามปีบ้าง สี่ปีบ้าง
ห้าปีบ้าง สิบปีบ้าง ยี่สิบปีบ้าง สามสิบปีบ้าง สี่สิบปีบ้าง ห้าสิบปีบ้าง ร้อยปีบ้าง ยิ่งกว่าร้อยปีบ้าง ย่อมปรากฏ
แต่ว่า ตถาคตเรียกกายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
จิตเป็นต้น นั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน
[๒๓๒] ภิกษุทั้งหลาย วานรเมื่อเที่ยวไปในป่าใหญ่จับกิ่งไม้ ปล่อยกิ่งนั้นยึดเอากิ่งอื่น
ปล่อยกิ่งที่ยึดเดิม เหนี่ยวกิ่งใหม่ต่อไป แม้ฉันใด
กายอันเป็นที่ประชุมแห่งมหาภูตทั้ง ๔ นี้ ที่ตถาคตเรียกว่า จิตบ้าง มโนบ้าง วิญญาณบ้าง
จิตเป็นต้นนั้น ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป ในกลางคืนและกลางวัน ก็ฉันนั้นแล.