เขาเล่าว่า นักฟ้อนรำผู้หนึ่ง จับลูกนกแขกเต้าได้ตัวหนึ่ง ฝึกสอนมันพูดภาษาคน
(ตัวเองเที่ยวไปแสดงการฟ้อนรำในที่อื่น ๆ). นักฟ้อนรำ ผู้นั้น อาศัยสำนักของนางภิกษุณี
อยู่เวลาไปในที่อื่น ๆ ลืมลูกนกแขกเต้าเสียสนิทแล้วไป. เหล่าสามเณรีก็จับมันมาเลี้ยงตั้ง
ชื่อมันว่าพุทธรักขิต. วันหนึ่ง พระมหาเถรี. เห็นมันจับอยู่ตรงหน้า จึงเรียกมันว่า
พุทธรักขิต. ลูกนกแขกเต้าจึงขานถามว่า อะไรจ๊ะ แม่เจ้า. พระมหาเถรีจึงถามว่า การใส่
ใจภาวนาอะไร ๆ ของเจ้ามีบ้างไหม. มันตอบว่า ไม่มีจ๊ะแม่เจ้า. พระมหาเถรีจึงสอนว่า
ขึ้นชื่อว่าผู้อยู่ในสำนักของพวกนักบวช จะปล่อยตัวอยู่ไม่สมควร ควรปรารถนาการใส่ใจ
บางอย่าง แต่เจ้าไม่ต้องสำเหนียกอย่างอื่นดอก จงท่องว่า อัฏฐิ อัฏฐิ (กระดูก)ก็พอ.
ลูกนกแขกเต้านั้น ก็อยู่ในโอวาทของพระเถรี ท่องว่า อัฏฐิ อัฏฐิ
อย่างเดียวแล้วเที่ยวไป. วันหนึ่งตอนเช้า มันจับอยู่ที่ยอดประตู ผึ่งแดดอ่อนอยู่ แม่เหยี่ยว
ตัวหนึ่งก็เฉี่ยวมันไปด้วยกรงเล็บ. มันส่งเสียงร้อง กิริ ๆ. เหล่าสามเณรี ก็ร้องว่าแม่
เจ้าพุทธรักขิตถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป เราจะช่วยมัน ต่างคว้าก้อนดินเป็นต้น ไล่ตามจนเหยี่ยว
ปล่อย. เหล่าสามเณรีนำมันมาวางไว้ตรงหน้าพระมหาเถรี ๆ ถามว่า
พุทธรักขิต ขณะเจ้าถูกเหยี่ยวจับไปเจ้าคิดอย่างไร. ลูกนกแขกเต้าตอบว่า แม่เจ้า ไม่คิด
อะไรๆดอก คิดแต่เรื่องกองกระดูกเท่านั้นจ๊ะแม่เจ้าว่า
“กองกระดูกพากองกระดูกไป จักเรี่ยราดอยู่ในที่ไหนหนอ”
พระมหาเถรี จึงให้สาธุการว่า สาธุ สาธุ พุทธรักขิต ข้อนั้นจักเป็นปัจจัย แห่งความสิ้นภพ
ของเจ้า ในกาลภายภาคหน้าแล.แม้สัตว์ดิรัจฉาน ในแคว้นกุรุนั้น ก็ประกอบเนื่องๆซึ่ง
สติปัฏฐานด้วยประการฉะนี้ เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบถึงความเจริญ
แพร่หลายแห่งสติปัฏฐานของชาวกุรุเหล่านั้น จึงได้ตรัสพระสูตรนี้.
พระสุตตันตปิฏก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๑๔ หน้า ๒๕๙
มหามกุฏราชวิทยาลัย(เล่มสีน้ำเงิน)
เนื่องจากคณะผู้จัดทำมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการเผย
แผ่คำสอนของพระพุทธเจ้า
และเปิดเผยความจริงโดย
ไม่มีวัตถุประสงค์อื่น
สื่อจากสำนักปฏิบัติธรรม
ดอยเวียงเกี๋ยงวนาแจกฟรีไม่มีการขาย